ความเชื่อและความศรัทธา


ประวัติพญานาค และพญานาคมีกี่เหล่า ?<

ประวัติพญานาค เป็นเรื่องราวที่สืบทอดกันมายาวนานในวัฒนธรรมของชาวไทย ลาว เขมร และกลุ่มชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในศาสนาพุทธและฮินดู ซึ่งมีทั้งในตำนาน ความเชื่อ และคำสอนทางศาสนา ในศาสนาฮินดู  พญานาคมีความสำคัญในเทพปกรณัมฮินดู โดยเป็นบริวารของเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระวิษณุบรรทมบนอนันตนาคราช (พญานาคที่มีหลายเศียร) ในเกษียรสมุทร วาสุกี พญานาคอีกตนหนึ่งถูกใช้เป็นเชือกในการกวนเกษียรสมุทรเพื่อสร้างน้ำอมฤต มีความเชื่อว่าพญานาคอาศัยอยู่ในบาดาลโลก ซึ่งเป็นโลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยสมบัติ ในพระพุทธศาสนา พญานาคมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในพุทธประวัติหลายครั้ง เช่น พญานาคตนหนึ่งชื่อมุจลินท์ได้แผ่พังพานบังฝนให้พระพุทธเจ้าขณะบำเพ็ญเพียร ในตำนานการสร้างพระธาตุสำคัญหลายแห่ง มักปรากฏเรื่องราวของพญานาคที่เข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องรักษาพระธาตุ พญานาคถือเป็นสัตว์กึ่งเทพ มีฤทธิ์เดช แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ จัดอยู่ในสุคติภูมิ สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ในวัฒนธรรมไทยและลาว: มีความเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าแห่งน้ำ อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำต่างๆ ปรากฏในตำนานพื้นเมือง นิทานปรัมปรา และพิธีกรรมต่างๆ เช่น บั้งไฟพญานาค มีการสร้างรูปเคารพพญานาคตามวัดวาอารามและสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อความสิริมงคลและการปกป้องคุ้มครอง ตามคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนา รวมถึงความเชื่อพื้นเมืองในภูมิภาคต่างๆ ได้มีการกล่าวถึงพญานาคไว้หลายตระกูลหรือเหล่า ซึ่งมีการจำแนกตามลักษณะสีผิวและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป หลักๆ แล้วมักจะแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ ดังนี้ 4 เหล่าพญานาค (จตุรนาค) เหล่า ลักษณะเด่น ที่อยู่ ความสามารถ วิรูปักข์ มีกายสีทอง อาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นราชาใหญ่แห่งนาคทั้งหมด แปลงกายได้เก่ง มีฤทธิ์มาก เอราปถ มีกายสีเขียว อยู่ในแผ่นดิน  มีอำนาจปกครองนาคชั้นสูง ฉัพยาปุตตะ มีกายสีรุ้ง อยู่ในน้ำ (แม่น้ำ ลำธาร) แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ กัณหาโคตมะ มีกายสีดำเข้ม หรือดำอมม่วง อยู่ใต้ดิน/บาดาล (นาคพิภพ) มีฤทธิ์ทางไสยศาสตร์ 1. ตระกูลวิรูปักษ์  เป็นพญานาคที่มีสีเขียวบ้างก็ว่ามีสีทอง มีฤทธิ์เดชมาก มักเป็นผู้นำของพญานาคทั้งปวง บางตำรากล่าวว่าเป็นพญานาคชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา 2. ตระกูลเอราปถ เป็นพญานาคที่มีสีน้ำเงิน บ้างก็ว่ามีสีม่วง มีความสามารถในการแปลงกายได้หลากหลาย และมีความเกี่ยวข้องกับน้ำ 3. ตระกูลฉัพพยาปุตตะ เป็นพญานาคที่มีสีรุ้ง หรือมีหลายสี บ้างก็ว่ามีสีทองคำ มีความสง่างามและมีฤทธิ์ในทางเมตตา 4 .ตระกูลกัณหาโคตมกะ   เป็นพญานาคที่มีสีดำ บ้างก็ว่ามีสีน้ำตาลเข้ม มีความดุดันและมีอำนาจในการทำลายล้าง

(07/05/2025 11:03) ...อ่านต่อ
ประวัติผีเปรต กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรต<

ผีเปรต เป็นผีในความเชื่อของชาวไทยและชาวพุทธในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในไทย ลาว และกัมพูชา มีลักษณะเฉพาะคือ รูปร่างสูงใหญ่ ผอมแห้ง ผิวดำปากเท่ารูเข็ม เสียงร้องคร่ำครวญเวทนา มักปรากฏตัวในเวลากลางคืนในป่า ชายป่า หรือวัดร้าง ประวัติและความเชื่อเกี่ยวกับ "ผีเปรต" ในพระพุทธศาสนา: คำว่า "เปรต" มาจากภาษาสันสกฤตว่า "เปฺรต" (प्रेत) และภาษาบาลีว่า "เปต" (peta) หมายถึง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือวิญญาณของผู้ตาย โดยเชื่อว่าเป็นภพภูมิหนึ่งในกามภูมิที่เรียกว่า "เปตภูมิ" หรือ "เปรตวิสัย" ซึ่งเป็นแดนแห่งความทุกข์ทรมานสำหรับผู้ที่เคยทำกรรมชั่วไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เคยทำบุญให้ทาน หรือเคยเบียดเบียนผู้อื่น หรือ "เปรต" มาจากภาษาบาลีว่า "เปตะ" (Peta) แปลว่า “ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว” แต่ในความหมายแคบหมายถึง “สัตว์ที่เกิดในเปรตภูมิ” ซึ่งเป็นหนึ่งใน อบายภูมิ 4 ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ในคติชนวิทยาไทย: ความเชื่อเรื่องเปรตในไทยได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา แต่ก็มีการผสมผสานกับความเชื่อพื้นเมืองเกี่ยวกับวิญญาณบรรพบุรุษและการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ลักษณะรูปร่างที่โดดเด่นของเปรตในความเชื่อไทย เช่น ตัวสูงผอม คอยาว ปากเล็ก อาจเป็นภาพจำลองของผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากความอดอยาก บทบาทในสังคมไทย: เปรตมีบทบาทสำคัญในการสอนเรื่องกฎแห่งกรรมและการทำบุญในสังคมไทย มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเปรตในวรรณกรรม จิตรกรรม และประเพณีต่างๆ เพื่อเตือนใจให้ผู้คนทำความดี ละเว้นความชั่ว และให้ความสำคัญกับการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เปรตเกิดจากผลของ กรรมชั่ว เช่น ลบหลู่คุณพ่อแม่ กล่าวร้ายพระสงฆ์ ยักยอกของสงฆ์ เบียดเบียนผู้อื่นอย่างรุนแรง ลักษณะของเปรตตามความเชื่อไทย ตัวสูงหลายศอก ผิวดำซีด ผอมแห้ง สูงชะลูดเหมือนต้นตาล ผอมโซ มีแต่หนังหุ้มกระดูก คอยาว ท้องโต มือใหญ่เท่าใบลาน แต่มีปากเล็กมากเท่ารูเข็ม กินอะไรก็ไม่ได้ เพราะเผาไหม้หรือกลายเป็นของอุจาด ร้องไห้โหยหวนอยู่เสมอเพราะความหิวและทุกข์ทรมาน หิวโหยอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถกินอาหารได้เนื่องจากปากเล็ก มักปรากฏตัวเพื่อขอส่วนบุญจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มักปรากฏในงานบุญต่างๆ ที่มีการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย หรือปรากฏในสถานที่ที่เคยทำความชั่วไว้

(07/05/2025 10:28) ...อ่านต่อ
ตำนานผีกระสือ<

ตำนานผีกระสือเป็นเรื่องเล่าพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลากหลายเรื่องราวและรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะร่วมกันประมาณนี้ครับ ลักษณะทั่วไปของผีกระสือ มีหัวและเครื่องใน กระสือมักถูกเล่าว่าเป็นผีผู้หญิงที่มีเพียงส่วนหัวและเครื่องใน (เช่น ไส้ หัวใจ ปอด) ที่ล่องลอยไปในเวลากลางคืน โดยไม่มีลำตัว และมีแสงเรือง หัวและเครื่องในของกระสือมักมีแสงเรืองสีเขียวหรือแดงออกมา ชอบ กินของโสโครก เชื่อกันว่ากระสือจะหากินของสกปรก เช่น อุจจาระ ซากสัตว์ หรือรกเด็ก กลัวสิ่งสกปรกและหนาม มีความเชื่อว่ากระสือกลัวสิ่งสกปรกและหนามแหลม ทำให้ชาวบ้านมักนำสิ่งเหล่านี้มาป้องกันบ้านเรือน ที่มาและตำนาน การทำผิดครู ตำนานหนึ่งเล่าว่ากระสือเกิดจากผู้หญิงที่เรียนวิชาอาคมแต่ทำผิดครู หรือควบคุมวิชาไม่ได้ ทำให้กลายเป็นผีที่มีเพียงหัวและเครื่องใน การกินของต้องห้าม อีกตำนานเล่าว่ากระสือเป็นผู้หญิงที่กินของต้องห้ามทางไสยศาสตร์ ทำให้ร่างกายกลายเป็นเช่นนั้น คำสาปแช่ง บางความเชื่อก็ว่ากระสือเกิดจากผู้หญิงที่ถูกสาปแช่ง ทายาท มีความเชื่อว่ากระสือสามารถถ่ายทอดความเป็นกระสือสู่ทายาทได้ โดยมักจะเป็นผู้หญิงในครอบครัว ความเชื่อและอิทธิพลทางวัฒนธรรม ความกลัวและการป้องกัน: ความเชื่อเรื่องกระสือทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ชาวบ้าน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน และนำไปสู่การคิดค้นวิธีการป้องกันต่างๆ นิทานและสื่อบันเทิง: เรื่องราวของกระสือเป็นที่นิยมในนิทานพื้นบ้าน ภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่างๆ ความหลากหลายในแต่ละภูมิภาค: ชื่อเรียกและลักษณะของผีที่มีความคล้ายคลึงกับกระสือปรากฏอยู่ในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น "Penanggalan" ในมาเลเซีย "Kuyang" ในอินโดนีเซีย และ "Ahp" ในกัมพูชา ซึ่งอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง โดยรวมแล้ว ตำนานผีกระสือเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อพื้นบ้านที่สะท้อนถึงความกลัว สิ่งลี้ลับ และการพยายามหาคำอธิบายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในสังคมไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(28/04/2025 14:57) ...อ่านต่อ
ประวัติของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ<

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาที่เรียบง่าย ณ บ้านสามเขา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปีมะโรง พ.ศ. 2447 การสูญเสียบุพการีตั้งแต่ยังเด็กนับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน แต่ในอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์นี้อาจเป็นปัจจัยที่หล่อหลอมให้ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง พึ่งพาตนเอง และมีความเมตตาต่อผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง การเติบโตภายใต้การดูแลของยายและพี่สาว ทำให้ท่านได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมตามแบบวิถีชาวบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตของท่านในภายหลัง แม้จะไม่ได้มีข้อมูลปรากฏชัดเจนเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กและการศึกษาเบื้องต้นของท่านมากนัก แต่เชื่อได้ว่าท่านได้รับการปลูกฝังในเรื่องของความกตัญญู ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการดำเนินชีวิตอย่างสมถะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่โดดเด่นในตัวท่านเมื่อเติบโตขึ้น การอุปสมบทและการศึกษาพระธรรมวินัย: เส้นทางสู่การเป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่ออายุครบบวช 21 ปี หลวงปู่ดู่ได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ณ วัดสะแก ซึ่งเป็นวัดสำคัญในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การอุปสมบทครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของท่าน การได้รับฉายา "พรหมปัญโญ" เป็นนิมิตหมายอันดีที่บ่งบอกถึงสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดและคุณธรรมที่สูงส่ง ภายใต้การดูแลของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ผู้ทรงคุณ และพระอาจารย์อื่นๆ ในวัดสะแก หลวงปู่ดู่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน ท่านให้ความสำคัญกับการศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติ ท่านไม่ได้เพียงแค่ท่องจำพระสูตรต่างๆ แต่ยังลงลึกในความหมายและนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หลวงปู่ดู่เป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ท่านดำรงตนอย่างสมถะ มีความสันโดษ มุ่งมั่นในการเจริญสมาธิภาวนา ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาพระธรรม ค้นคว้าหลักธรรมคำสอน และฝึกฝนจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส การปฏิบัติอย่างจริงจังนี้เองที่เป็นพื้นฐานสำคัญให้ท่านบรรลุธรรมในระดับสูง การปฏิบัติธรรมและการแสวงหาธรรม: ความเพียรที่ไม่ย่อท้อ หลวงปู่ดู่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ท่านมิได้ย่อท้อต่อความยากลำบากในการเจริญสมาธิภาวนา ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติในหลายแนวทาง เพื่อให้เข้าถึงสภาวะแห่งความสงบและความรู้แจ้ง ท่านมีความเพียรอย่างสม่ำเสมอในการฝึกจิตใจให้ตั้งมั่นและพิจารณาธรรมตามความเป็นจริง ในช่วงแรกของการบวช ท่านอาจจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากครูบาอาจารย์ในวัดสะแก และอาจมีการเดินทางเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณอื่นๆ เพื่อเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติที่หลากหลาย การเดินทางและการพบปะกับพระสงฆ์ผู้มีประสบการณ์ เป็นการเปิดโลกทัศน์และเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในธรรมะของท่านให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การเป็นที่เคารพศรัทธาและการเผยแผ่ธรรม: เมตตาธรรมที่แผ่ไพศาล ด้วยปฏิปทาอันงดงาม ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และเมตตาจิตที่เปี่ยมล้น ทำให้หลวงปู่ดู่เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง ผู้คนต่างหลั่งไหลมาขอคำแนะนำ ขอพร และร่วมทำบุญกับท่านอย่างไม่ขาดสาย หลวงปู่ดู่มิได้เพียงแต่เป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนเท่านั้น ท่านยังเป็นครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดธรรมะและแนวทางการปฏิบัติให้แก่ลูกศิษย์อย่างไม่ย่อท้อ ท่านสอนด้วยความเมตตา อดทน และเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีสติ การเจริญสมาธิภาวนา และการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า "คาถามหาจักรพรรดิ": มรดกธรรมอันล้ำค่า สิ่งที่ทำให้หลวงปู่ดู่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นคือการรจนา "คาถามหาจักรพรรดิ" ซึ่งเป็นบทสวดที่ได้รับการยกย่องว่ามีพุทธานุภาพสูง บทสวดนี้เป็นการรวมเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ มาไว้ด้วยกัน เชื่อกันว่าการสวดคาถานี้เป็นประจำจะช่วยเสริมบารมี ปรับภพภูมิให้ดีขึ้น เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และช่วยในการเจริญสมาธิภาวนา คาถามหาจักรพรรดิได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ลูกศิษย์และผู้ศรัทธา และยังคงเป็นบทสวดที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นมรดกธรรมอันล้ำค่าที่หลวงปู่ดู่ได้มอบไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ปัจฉิมวัยและการละสังขาร: การจากไปของพระอริยสงฆ์ ในวัยชรา หลวงปู่ดู่ยังคงปฏิบัติธรรมและให้คำแนะนำแก่ลูกศิษย์อย่างต่อเนื่อง แม้สังขารจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่จิตใจของท่านยังคงเข้มแข็งและเมตตา หลวงปู่ดู่ได้ละสังขารด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2533 สิริอายุ 85 ปี พรรษา 65 การจากไปของท่านสร้างความโศกเศร้าเสียใจให้กับลูกศิษย์และผู้ศรัทธาทั่วประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสังขารตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา สังขารของหลวงปู่ดู่ได้รับการตั้งบำเพ็ญกุศลเป็นเวลานานถึง 459 วัน ก่อนที่จะได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคารพและศรัทธาที่ประชาชนมีต่อท่านอย่างมากมาย คุณธรรมและจริยาวัตรที่โดดเด่น ความเมตตากรุณา: หลวงปู่ดู่เป็นพระสงฆ์ที่มีเมตตาจิตสูง ท่านให้ความช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ทุกคนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ความสมถะ: ท่านดำรงตนอย่างเรียบง่าย ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย: ท่านปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระสงฆ์และฆราวาส ความเพียรในการปฏิบัติธรรม: ท่านมีความมุ่งมั่นในการเจริญสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ การสอนธรรมะด้วยความเข้าใจ: ท่านสามารถถ่ายทอดหลักธรรมคำสอนให้เข้าใจง่าย และนำไปปฏิบัติได้จริง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นพระอริยสงฆ์ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง คำสอนและ "คาถามหาจักรพรรดิ" ของท่านยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน ประวัติชีวิตของหลวงปู่ดู่เป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติธรรม การมีเมตตา และการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

(26/04/2025 23:37) ...อ่านต่อ
คาถาเงินล้านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<

คาถาเงินล้านของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นคาถาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มที่ประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ตั้งจิตอธิษฐานให้แน่วแน่กราบพระ 3 ครั้ง ก่อนสวด นั่งสมาธิ หรืออย่างน้อยทำใจให้สงบ แล้วสวด หลวงพ่อฤๅษีลิงดำแนะนำว่า ควรสวดอย่างน้อย 9 จบ หรือสวดมากเท่าที่ต้องการ ควรสวดทุกวันสม่ำเสมอ เพื่อให้จิตใจเปิดรับโชคลาภอย่างต่อเนื่อง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม มิเตภาหุหะติ พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม สัมปะติจฉามิ เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ

(26/04/2025 23:15) ...อ่านต่อ
ตำนานและประวัติผีปอป<

ผีปอบ (Pop) เป็นหนึ่งในภูตผีพื้นบ้านของไทยที่มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ คนไทยเชื่อกันว่าผีปอบคือ ดวงวิญญาณเร่ร่อน หรือ วิญญาณร้าย ที่อาศัยอยู่ในร่างของคน และมีพฤติกรรม กินเครื่องในมนุษย์หรือสัตว์ เป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิต ลักษณะของผีปอบ ปอบมีลักษณะเหมือนคนธรรมดาในยามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาหิวจัดหรือเวลากลางคืน วิญญาณของปอบจะออกจากร่างเพื่อหาเหยื่อ สิ่งที่ปอบต้องการคือ ตับ ไต ไส้ พุง ของมนุษย์หรือสัตว์เล็ก บางตำนานเล่าว่า ปอบสามารถเข้าสิงร่างของคนอื่นได้ และแพร่พันธุ์โดยการ "ถ่ายทอด" ไปยังผู้อื่นผ่านพิธีกรรม ต้นกำเนิดของผีปอบ มีหลายตำนานอธิบายที่มาเช่น วิชาไสยศาสตร์ผิดครู เล่ากันว่าบางคนเรียนเวทมนตร์สายดำหรือไสยศาสตร์ แต่เมื่อผิดครู (ผิดสัจจะที่ให้ไว้กับครูบาอาจารย์) วิชาเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนกลายเป็น "ปอบ" วิญญาณปอบจึงเข้าสิงร่างของผู้ผิดครูนั้น และสืบต่ออยู่ไปเรื่อยๆ ความโลภ บางตำนานบอกว่าคนที่มีความโลภมาก อยากได้ของวิเศษหรืออำนาจ แต่ทำผิดกฎแห่งกรรมจึงถูกสาปให้กลายเป็นผีปอบไปตลอดชีวิต กรรมจากอดีตชาติ อีกแนวคิดหนึ่งคือ เชื่อว่าคนที่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือเบียดเบียนผู้อื่นมากในอดีตชาติ กลับมาเกิดใหม่แล้วต้องรับกรรมเป็นปอบ การตรวจจับและกำจัดผีปอบ ในสังคมโบราณ มีวิธีหลายแบบในการ "ตรวจสอบ" ว่าใครเป็นปอบ เช่น ใช้พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น การทำพิธีเข้าทรง ใช้หมอผีหรือหมอธรรม (หมอพื้นบ้าน) ตรวจสอบ ใช้การสังเกตอาการ เช่น ผู้ที่ร่างกายซูบผอมผิดปกติ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม อาจถูกสงสัยว่าเป็นปอบ ในบางพิธี มีการทำ "ขันธ์ 5" หรือใช้พระเวทขับไล่ปอบออกจากร่าง ความเชื่อเรื่องผีปอบในปัจจุบัน แม้ว่าสังคมไทยปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ในชนบทหลายแห่งยังมีความเชื่อเรื่องปอบอยู่ ปัจจุบันมักมีข่าวเกี่ยวกับ "หมู่บ้านผีปอบ" เช่น การไล่ผี ไล่ปอบ หรือการเชิญหมอผีมาทำพิธีขับไล่ บางพื้นที่มีการจัด "พิธีกรรมขับปอบ" เพื่อความสบายใจของชุมชน แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยสรุปแล้วผีปอป ผีปอบ คือการสะท้อนความกลัวในสังคมโบราณเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับและการผิดศีลธรรม แม้ปัจจุบันจะถือว่าเป็นตำนานพื้นบ้าน แต่ผีปอบก็ยังคงมีบทบาทในความเชื่อ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทยอยู่เสมอ

(26/04/2025 16:19) ...อ่านต่อ
ประวัติและตำนานของแม่นาคพระโขนง<

ประวัติและตำนานของแม่นาคพระโขนง แม่นาคพระโขนง เป็นหนึ่งในตำนานผีพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน โดยมีทั้งในรูปแบบนิทานพื้นบ้าน บทละคร ภาพยนตร์ และวรรณกรรม วันนี้เราพามาดูประวัติของแม่นาคกันครับ เรื่องเล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือราวต้นรัตนโกสินทร์ มีหญิงสาวชื่อ "นาค" อาศัยอยู่ริมคลองพระโขนง (ปัจจุบันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ฝั่งพระโขนง) นางนาคเองนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก และมีคู่รักชื่อ "มาก" (บางฉบับเรียกว่า "พ่อมาก") ทั้งสองรักกันอย่างลึกซึ้ง และแต่งงานกัน ในเวลาต่อมาไม่นาน นางนาคตั้งครรภ์ แต่ในขณะนั้น พ่อมากถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ระหว่างที่พ่อมากไม่อยู่ นางนาคได้เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าขณะคลอดลูก เนื่องจากการทำคลอดในอดีตยังไม่ทันสมัยนัก ด้วยความรักและผูกพันอันแรงกล้า แม่นาคจึงกลายเป็น "ผี" ที่ยังไม่ยอมไปเกิด เพราะต้องการอยู่รอพ่อมาก เมื่อพ่อมากกลับมา เขาไม่รู้ว่านางนาคและลูกได้เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งสองอยู่กินกันเหมือนเดิม แต่ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัว และพยายามบอกพ่อมากว่านางนาคเป็นผี พ่อมากไม่เชื่อ จนมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น ขณะที่นางนาคทำอาหาร เธอทำของตกใต้เรือน แล้ว "เหยียดแขนยาวผิดธรรมชาติ" ไปเก็บ พ่อมากเห็นและเริ่มเชื่อว่านางนาคไม่ใช่มนุษย์ จึงหนีไปซ่อนตัวที่วัดมหาบุศย์ (ซึ่งถือเป็นเขตอภัยทาน ผีไม่สามารถล่วงล้ำได้) แม่นาคเสียใจและอาละวาด จนชาวบ้านหวาดผวาไปตามๆกัน ในที่สุด มีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม (บางตำนานระบุว่าเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)) มาปราบและปลดปล่อยดวงวิญญาณแม่นาคให้ไปสู่สุคติ ความเชื่อและวัดมหาบุศย์ ปัจจุบัน "วัดมหาบุศย์" (พระโขนง) เป็นสถานที่ที่คนไทยเชื่อว่าแม่นาคสถิตอยู่ และมีศาลแม่นาคพระโขนงให้สักการะ ซึ่งในแต่ละวันมีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปขอพรในเรื่องความรัก การมีลูก และการเดินทางปลอดภัยโดยเฉพาะเรื่อง ความรัก คนเชื่อว่าแม่นาคมีจิตเมตตา จะช่วยดลบันดาลให้สมหวังในความรัก ลักษณะของแม่นาคในตำนาน แม่นาคถูกพรรณนาเป็นหญิงสาวผมยาว สวมชุดไทยโบราณ (บางทีเป็นสีเขียวอ่อน) อุ้มทารก หรือมีลูกน้อยอยู่ด้วย มีบุคลิกที่เต็มไปด้วยความรักบริสุทธิ์ แต่ก็น่าสะพรึงกลัวเมื่อถูกพรากจากคนรัก แม่นาคในวัฒนธรรมสมัยใหม่ เรื่องแม่นาคพระโขนงได้รับการดัดแปลงหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์ชื่อดัง เช่น นางนาก (1999) และ พี่มาก..พระโขนง (2013) ที่เป็นเวอร์ชันตลก-รักโรแมนติก ละครเวที และนิยายหลายเรื่อง เพลงไทยเกี่ยวกับแม่นาคก็มีมากมาย เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับประวัติเรื่องเล่าและตำนานของย่านาคหรือแม่นาคพระขโนงที่เล่าสืบกันต่อๆกันมา ท่านเป็นหญิงที่มั่นคงในความรักแม้ว่าจะไม่อยู่ในโลกมนุษย์แล้วก็ตามแต่ความรักและความผูกพันกับพี่มากซึ่งเป็นคู่รักก็ไม่จางหายไปแม้แต่วินาทีเดียว ช่างเป็นเรื่องราวความรักที่นิรันด์และน่าหดหู่ในคราวเดียวเลย

(26/04/2025 15:35) ...อ่านต่อ
ประวัติและตำนานการกำเนิดของพญาครุฑ<

ประวัติและตำนานการกำเนิดของพญาครุฑ พญาครุฑ เป็นสัตว์กึ่งเทพในตำนานที่สำคัญอย่างยิ่งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และได้รับการนับถือแพร่หลายในวัฒนธรรมไทย ทั้งในฐานะสัญลักษณ์แห่งอำนาจราชวงศ์ และในทางศาสนา ต้นกำเนิดของพญาครุฑ 1. กัศยปะมุนี (ท้าวทัศรถ) และชายาทั้งสอง: กัศยปะมุนี: ในตำนานฮินดู กัศยปะมุนีเป็นหนึ่งในฤษีผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุตรของพระพรหม และถือเป็นบิดาแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทพ อสูร มนุษย์ นาค ครุฑ และสัตว์ต่างๆ ในบริบทของไทย บางครั้งจะมีการเชื่อมโยงหรือเทียบเคียงกับท้าวทัศรถ (พระบิดาของพระรามในรามายณะ) ซึ่งแสดงถึงความสำคัญในฐานะผู้ให้กำเนิด นางวินตา (นางวิมาดา/นางทาสี): เป็นหนึ่งในชายาหลายองค์ของกัศยปะมุนี นางเป็นมารดาของพญาครุฑและอรุณ (สารถีของพระอาทิตย์) มีลักษณะเป็นผู้มีคุณธรรม แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมจากการพนัน นางกัทรุ (นางกัทรี): เป็นชายาอีกองค์ของกัศยปะมุนี และเป็นมารดาของพญานาคทั้งปวง มีลักษณะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ซึ่งเป็นชนวนเหตุของความบาดหมาง 2. การพนันและผลกรรม: เรื่องราวการพนันเกี่ยวกับสีของม้าอุไฉศรพเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง นางวินตาเห็นว่าม้ามีสีขาวบริสุทธิ์ แต่ด้วยกลอุบายของนางกัทรุที่สั่งให้เหล่านาคแปลงกายเป็นขนสีดำแทรกอยู่ในตัวม้า ทำให้นางวินตาเข้าใจผิดและแพ้พนัน ผลจากการแพ้พนัน ทำให้นางวินตาและอรุณผู้เป็นบุตรต้องตกเป็นทาสรับใช้นางกัทรุและเหล่านาคเป็นเวลานาน สภาพความเป็นทาสนี้สร้างความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งให้กับนางวินตา 3. การปฏิสนธิและการประสูติของพญาครุฑ: ด้วยฤทธิ์อำนาจของกัศยปะมุนีและการบำเพ็ญตบะของนางวินตา พญาครุฑจึงปฏิสนธิในครรภ์ของนาง การตั้งครรภ์และการประสูติของพญาครุฑนั้นแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป กล่าวกันว่าเมื่อถึงกำหนดคลอด พญาครุฑได้กำเนิดออกมาพร้อมกับรัศมีอันเจิดจ้าและพลังมหาศาล ร่างกายขยายใหญ่จนทำให้โลกสั่นสะเทือน เหล่าเทพและฤษีต่างตกตะลึงในอานุภาพ บางตำนานกล่าวว่า พญาครุฑมีร่างกายเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งนกอินทรี มีจะงอยปากและกรงเล็บที่แข็งแกร่ง ปีกขนาดใหญ่ที่สามารถพัดให้เกิดพายุได้ และมีพละกำลังมหาศาล 4. การรับรู้ถึงความทุกข์ของมารดาและการตัดสินใจช่วยเหลือ: เมื่อพญาครุฑเติบโตขึ้นและทราบถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าของมารดาที่ต้องตกเป็นทาสรับใช้เหล่านาค ความกตัญญูและความโกรธแค้นก็ประทุขึ้นในใจ พญาครุฑตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือมารดาให้พ้นจากพันธนาการนี้ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความยากลำบากเพียงใดก็ตาม 5. การเดินทางไปชิงน้ำอมฤต: เหล่านาคได้แจ้งเงื่อนไขแก่พญาครุฑว่า หากต้องการไถ่มารดาให้เป็นอิสระ จะต้องนำน้ำอมฤตจากสวรรค์มาให้ พญาครุฑจึงออกเดินทางไปยังสวรรค์เพื่อชิงน้ำอมฤต ซึ่งเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตราย ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้กับเหล่าเทพผู้รักษา รวมถึงพระอินทร์ผู้ทรงวัชระ ด้วยพละกำลังและฤทธิ์เดชอันเหนือกว่า พญาครุฑสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และชิงน้ำอมฤตมาได้สำเร็จ 6. ข้อตกลงและการผิดสัญญาของนาค: เมื่อพญาครุฑนำน้ำอมฤตมาถึง เหล่านาคได้วางอุบายโดยขอให้วางน้ำอมฤตไว้บนพื้นและจะทำพิธีบูชาก่อนดื่ม เมื่อพญาครุฑวางน้ำอมฤต เหล่านาคก็รีบดื่มกินน้ำอมฤตก่อนที่พญาครุฑจะทันได้ไถ่มารดาอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ด้วยอำนาจของพระนารายณ์หรือด้วยอานุภาพของน้ำอมฤตเอง ทำให้เพียงแค่เลียน้ำอมฤต เหล่านาคก็ได้รับฤทธิ์เดชและความเป็นอมตะบางส่วน แต่ลิ้นของพวกเขาก็ถูกคมหญ้าบาด ทำให้ลิ้นของนาคจึงมีสองแฉกแต่นั้นมา (เป็นความเชื่อที่ปรากฏในบางตำนาน) 7. การได้รับพรและการเป็นพาหนะของพระนารายณ์: ด้วยความกล้าหาญ ความกตัญญู และพลังอำนาจของพญาครุฑ พระนารายณ์ทรงเล็งเห็นถึงคุณสมบัติอันโดดเด่น จึงประทานพรให้พญาครุฑเป็นอมตะโดยไม่ต้องดื่มน้ำอมฤต และให้มีอำนาจในการจับนาคกินได้ นอกจากนี้ พระนารายณ์ยังทรงเลือกพญาครุฑให้เป็นพาหนะประจำพระองค์ ซึ่งเป็นการยกย่องและแสดงถึงความสำคัญของพญาครุฑในจักรวาลวิทยา 8. บทบาทและความเชื่อในวัฒนธรรมไทย: ในวัฒนธรรมไทย พญาครุฑไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ในตำนาน แต่ได้รับการยกย่องให้เป็น สัญลักษณ์แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และ อำนาจแห่งรัฐ ปรากฏในตราแผ่นดิน ธงชาติ (ในอดีต) และสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการต่างๆ ความเชื่อใน อานุภาพการปกป้องคุ้มครอง จากภัยอันตราย สิ่งชั่วร้าย และคุณไสยต่างๆ เป็นสิ่งที่ฝังลึกในสังคมไทย การบูชาหรือการมีรูปเคารพพญาครุฑจึงเป็นที่นิยม พญาครุฑยังเป็นสัญลักษณ์ของ ความเจริญรุ่งเรือง ยศถาบรรดาศักดิ์ และความซื่อสัตย์

(26/04/2025 15:08) ...อ่านต่อ
พระพุทโธน้อย พระเครื่องในตำนาน - คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม<

พระพุทโธน้อยเป็นพระเครื่องที่มีความสำคัญและเป็นที่เคารพศรัทธาอย่างสูง สร้างโดยคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ฆราวาสผู้มีศีลาจารวัตรและญาณบารมีสูงยิ่ง ประวัติความเป็นมาของพระพุทโธน้อยและคุณแม่บุญเรือนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม (พ.ศ. 2437 - 2507) ชาติกำเนิดและการศึกษา: คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ที่คลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) ในครอบครัวที่ยากจน บิดาชื่อนายยิ้ม กลิ่นผกา มารดาชื่อนางสวน กลิ่นผกา แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนในระบบ แต่ท่านเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ใฝ่ในการศึกษาธรรมะ และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติธรรมและญาณบารมี: คุณแม่บุญเรือนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ท่านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนเชื่อกันว่าท่านบรรลุญาณขั้นสูง มีอภิญญา สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆ และมีพลังจิตที่เข้มแข็ง ท่านเป็นที่เคารพเลื่อมใสในหมู่สงฆ์และฆราวาส การช่วยเหลือผู้อื่น: ด้วยเมตตาจิตและญาณบารมี คุณแม่บุญเรือนได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก ทั้งในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยการอธิษฐานและน้ำมนต์ การให้คำแนะนำธรรมะ และการช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนเป็นที่เลื่องลือและศรัทธา การสร้างวัตถุมงคล: คุณแม่บุญเรือนได้สร้างวัตถุมงคลหลายชนิด เพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ผู้ศรัทธา โดยวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือ พระพุทโธน้อย พระพุทโธน้อย การสร้าง: พระพุทโธน้อยสร้างขึ้นที่วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัดนอก ธนบุรี ในปี พ.ศ. 2494 โดยคุณแม่บุญเรือนได้ร่วมสร้างและอธิษฐานจิตปลุกเสก จำนวนพิมพ์และลักษณะ: พระพุทโธน้อยมีการสร้างหลายพิมพ์

(25/04/2025 16:28) ...อ่านต่อ
คาถาบูชาแม่บุญเรือน โตงบุญเติม คาถาพระฉิมพลี พลิกดวงให้มีแต่โชคลาภ<

คาถาพระฉิมพลี แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม พลิกดวงให้โชคลาภ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ” นะชาลีติฉิมพาลี จะ มหาเถโร สุวรรณะมามา โภชนะมามา วัตถุวัตถามามา พลาพลังมามา โภคะมามา มหาลาโภมามา สัพเพชะนา พหูชะนา ภวันตุเม “ ข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล) ขออารธนาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ช่วยอธิฐานสิ่งของที่ข้าพเจ้าได้นำมานี้ มี ผลไม้ ปูน ไพล และของทุกๆอย่าง ที่วางอยู่ ณ ที่นี้ ขอให้เป็นยาทิพย์ รักษาโรคให้หายสิ้น ให้แนวชีวิตรุ่งโรจน์ และมีอายุยืน ด้วยเทอญ ขอบารมีคุณแม่เป็นที่พึ่งฯ บทสวดตามกำลังวัน วันอาทิตย์ 6 จบ วันจันทร์ 15 จบ วันอังคาร 8 จบ วันพุธ 17 จบ วันพฤหัสบดี 19 จบ วันศุกร์ 21 จบ วันเสาร์ 10 จบ ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลบทสวดจากวัดสัมพันธวงศ์

(14/06/2024 15:00) ...อ่านต่อ
ประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ฆราวาสผู้เปี่ยมด้วยธรรม<

กำเนิดและชีวิตในวัยเยาว์ คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกา (นามสกุลเดิม โตงบุญเติม) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมียขึ้น 15 ค่ำ เวลา 11.20 น. หรือตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ท่านเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน ณ ตำบลบางระโหง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ปัจจุบันคืออำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) บิดาของท่านคือนายยิ้ม กลิ่นผกา มารดาคือนางสวน กลิ่นผกา คุณแม่บุญเรือนได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากบิดามารดาเป็นอย่างดี ท่านได้รับการศึกษาให้รู้ภาษาไทยพออ่านออกเขียนได้ ท่านมีความสามารถในการทำอาหารเยี่ยมยอด เย็บปักถักร้อยได้ และมีความสามารถพิเศษในการนวดแผนไทย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปู่ของท่านคือ อาจารย์กลิ่น หมอนวดที่มีชื่อเสียง ชีวิตครอบครัว คุณแม่บุญเรือนสมรสกับนายโตงบุญเติม มีบุตรด้วยกัน 2 คน แต่ชีวิตคู่ของท่านไม่ได้ราบรื่นนัก ท่านจึงตัดสินใจแยกทางกับสามี และหันหน้าเข้าสู่เส้นทางธรรมะ การบำเพ็ญเพียรทางจิต คุณแม่บุญเรือน เริ่มต้นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดยศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมและไสยเวทจากพระอาจารย์หลายท่าน ท่านมีความมุ่งมั่นตั้งใจศึกษาหาความรู้จนบรรลุวิชาชั้นสูง กิตติศัพท์และปาฏิหาริย์ คุณแม่บุญเรือน โด่งดังจากกิตติศัพท์เรื่องความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์มากมาย ผู้คนต่างหลั่งไหลมาขอพรและรับการรักษาจากท่าน ท่านมีเมตตาสูง ช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ในปี พ.ศ. 2499 คุณแม่บุญเรือนได้ริเริ่มก่อตั้งวัดอาวุธวิกสิตาราม ท่านใช้ชีวิตที่วัดแห่งนี้จนกระทั่งมรณภาพเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ศิษย์เอกและผู้สืบทอดเจตนารมณ์ คุณแม่บุญเรือนมีศิษย์เอกมากมาย ท่านที่โด่งดังที่สุดคือ อาจารย์ยอด ศรีจำลอง ศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่สืบทอดวิชาและเจตนารมณ์ของท่าน ความเชื่อและศรัทธา ปัจจุบัน คุณแม่บุญเรือน ยังคงเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก วัตถุมงคลของท่าน เช่น เหรียญ รูปหล่อ ตะกรุด ยังคงเป็นที่นิยมเสาะหา ผู้คนต่างเชื่อกันว่า วัตถุมงคลเหล่านี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถช่วยดลบันดาลให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา คาถาพระฉิมพลี แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม พลิกดวงให้โชคลาภ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ” นะชาลีติฉิมพาลี จะ มหาเถโร สุวรรณะมามา โภชนะมามา วัตถุวัตถามามา พลาพลังมามา โภคะมามา มหาลาโภมามา สัพเพชะนา พหูชะนา ภวันตุเม “

(13/06/2024 12:00) ...อ่านต่อ